Maha Vajiralongkorn on the side of a skyscraper

กษัตริย์ผู้เลือกศัตรูของตัวเอง

June 24, 2025

กษัตริย์วชิราลงกรณ์ หรือ รัชกาลที่ 10 ได้กระทำ “อัตวินิบาตกรรมทางการเมือง” หรือไม่ โดยการจับมือกับทักษิณและทอดทิ้งฐานอำนาจของชนชั้นนำฝ่ายตน? พันธมิตรลับระหว่างพระองค์กับศัตรูทางประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ได้ทำลายฉันทามติของฝ่ายจงรักภักดี จนกระทั่งเปลี่ยนให้กลุ่มนิยมกษัตริย์หัวแข็งที่สุดกลายเป็นผู้วางเฉยหรือแม้กระทั่งหันเหสู่ฝ่ายก้าวหน้า ความพยายามอย่างสิ้นหวังของรัชกาลที่ 10 ที่จะรักษาอำนาจของราชวงศ์ผ่านการประนีประนอม กลับกลายเป็นการเร่งเร้าให้เกิดวิกฤตความชอบธรรมซึ่งพระองค์พยายามจะหลีกเลี่ยง

Saraburi, Thailand - Jan 18, 2023: Royal Thai Army troops standing in front of the huge portrait of the King Chulalongkorn, King Bhumibol, and King Vajiralongkorn during the oathtaking ceremony.

เมื่อกษัตริย์ไร้มนต์ขลัง

กรอบวิเคราะห์วิกฤตนี้ต้องเริ่มต้นจากแนวคิดสามแบบของแม็กซ์ เวเบอร์ว่าด้วยอำนาจที่ชอบธรรม: อำนาจแบบจารีตประเพณี อำนาจแบบมีบารมี และอำนาจแบบกฎหมาย-เหตุผล ระบบราชาธิปไตยของไทยแต่เดิมตั้งอยู่บนการผสานระหว่างอำนาจแบบจารีตและบารมี โดยสถาบันกษัตริย์ได้รับความชอบธรรมจากทั้งประวัติศาสตร์และคุณลักษณะเฉพาะของพระมหากษัตริย์แต่ละพระองค์ อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนผ่านจากรัชกาลที่ 9 ผู้เป็นที่เคารพบูชา ไปสู่รัชกาลที่ 10 ได้นำไปสู่วิกฤตการสืบทอดในแบบที่เวเบอร์เรียกว่า “วิกฤตของบารมี” กล่าวคือ บารมีขององค์ก่อนหน้าไม่สามารถถ่ายทอดมาสู่องค์รัชทายาทได้โดยราบรื่น สถาบันจึงต้องพึ่งพาอำนาจบีบบังคับและพันธมิตรทางการเมืองที่ขัดแย้งกับตนเองในอดีตมากยิ่งขึ้น

แนวคิด “สลิ่ม” หรืออภิสิทธิ์ชนไทย ไม่ใช่เพียงแค่จุดยืนทางการเมือง แต่เป็นสิ่งที่อันโตนิโอ แกรมชีเรียกว่า “กลุ่มอำนาจนำ” (hegemonic bloc) ซึ่งคงไว้ซึ่งอำนาจผ่านฉันทามติมากกว่าการใช้กำลัง แนวคิดของแกรมชีช่วยอธิบายว่า ชนชั้นปกครองครองอำนาจได้ไม่ใช่แค่จากการบีบบังคับ แต่โดยการโน้มน้าวให้ประชาชนยินยอมผ่านการทำให้ผลประโยชน์เฉพาะกลุ่มดูเสมือนเป็นผลประโยชน์สาธารณะ การเทิดทูนสถาบันกษัตริย์จึงทำหน้าที่เป็นโครงสร้างนำทางความคิดของสังคมไทยและอภิสิทธิ์ของชนชั้นนำ แต่การจับมือกันระหว่างราชวงศ์กับทักษิณได้ทำลายกลไกนี้ลง เกิดสิ่งที่แกรมชีเรียกว่า “วิกฤตเชิงระบบ” (organic crisis) เมื่อชนชั้นนำไม่สามารถรักษาความนำทางความคิดได้อีกต่อไป และต้องหันไปพึ่งพาอำนาจบีบบังคับมากขึ้น สลิ่มจำนวนมากสูญเสียความศรัทธาในราชวงศ์ และถูกทำให้รู้สึกอับอายต่อสาธารณะ จนบางคนหันไปสู่ฝ่ายก้าวหน้าหรือวางตัวเป็นกลางอย่างไม่เต็มใจ

การที่พรรคก้าวไกลชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายแต่ถูกกันไม่ให้เป็นรัฐบาล สะท้อนถึงความขัดแย้งพื้นฐานระหว่างความชอบธรรมแบบประชาธิปไตยกับอำนาจแบบจารีต ซึ่งเป็นปัญหาต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2475 แก่นแท้ของปัญหาการเมืองไทยคือ “ความขัดแย้งที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขเรื่องความชอบธรรมของอำนาจ” ว่าอำนาจควรมาจากอธิปไตยของประชาชนหรือจารีตที่อ้างสิทธิธรรมทางศีลธรรม แนวนโยบายก้าวหน้าของพรรค – เช่น การปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ แก้กฎหมายมาตรา 112 ปฏิรูปกองทัพ และนิรโทษกรรมนักโทษการเมือง – เป็นการท้าทายรากฐานของลำดับชั้นในสังคมไทย การปฏิเสธเจตจำนงของประชาชนโดยวุฒิสภาและกลุ่มอนุรักษนิยม เป็นหลักฐานว่าระบบการเมืองไทยได้กลายเป็น “เผด็จการแบบเลือกตั้ง” (competitive authoritarianism) ซึ่งมีรูปแบบประชาธิปไตยแต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอำนาจอย่างแท้จริง

ชั้นเชิงของทักษิณในการเจรจากับราชสำนัก

การจัดตั้งรัฐบาลผสมระหว่างพรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทย เป็นการพลิกผันทางการเมืองไทย ไม่ใช่เพราะอุดมการณ์ใกล้เคียงกัน แต่เพราะแรงจูงใจเพื่อความอยู่รอดทางการเมือง การที่อดีตนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และชวน หลีกภัย กลับคำพูดที่เคยปฏิเสธการร่วมงานกับเพื่อไทย สะท้อนถึง “ความตื่นตระหนกของชนชั้นนำ” ที่ทำลายหลักการเดิมของตน พันธมิตรเช่นนี้เรียกว่า “การประนีประนอมเชิงรับของชนชั้นนำ” ซึ่งมักจะเปราะบาง เพราะขาดรากฐานอุดมการณ์ร่วม

การกลับมาของทักษิณหลังจากลี้ภัยนาน 16 ปี ถือเป็นหนึ่งในความผิดพลาดเชิงกลยุทธ์ที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ข้อตกลงลับกับรัชกาลที่ 10 ซึ่งตั้งอยู่บนสมมติฐานว่าการนิรโทษกรรมให้ทักษิณจะช่วยเสริมความชอบธรรมให้ราชสำนัก ด้วยการแสดงให้เห็นถึงความเอื้อเฟื้อของพระมหากษัตริย์ กลับส่งผลตรงกันข้าม คือเผยให้เห็นถึงความอ่อนแอและการพึ่งพาทางการเมืองต่อศัตรูในอดีต ข้อตกลงที่ยกเว้นโทษทางกฎหมายแลกกับการไม่เคลื่อนไหวทางการเมือง บ่งชี้ว่าหลักนิติธรรมถูกแขวนเพื่อประโยชน์ทางการเมือง ซึ่งบ่อนทำลายความชอบธรรมแบบเหตุผล-กฎหมาย ที่รัฐสมัยใหม่ต้องมีเพื่อความมั่นคง

Former Thai Prime Minister Thaksin Shinawatra waves to his supporters after his return to Thailand at the private jet terminal at Don Mueang airport in Bangkok August 22, 2023.

กรณีคลิปเสียงหลุดระหว่างแพทองธาร ชินวัตร และฮุนเซน เป็นตัวอย่างของความเปราะบางใหม่ที่เกิดขึ้นจากการกลับมาของตระกูลชินวัตร นายกฯ เผชิญกับ “ม็อบและเสียงเรียกร้องให้ลาออก” อันเนื่องมาจากบทสนทนาที่กระทบต่อภาพลักษณ์ของไทยในเวทีภูมิภาค ปรากฏการณ์นี้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาเชิงศีลธรรมของการประนีประนอมระหว่างชนชั้นนำ: มันสร้างความรู้สึกว่าผู้มีอภิสิทธิ์สามารถกระทำสิ่งใดก็ได้โดยไม่มีผลตามมา การลาออกของพรรคภูมิใจไทยจากรัฐบาลผสม ตอกย้ำถึงความไม่มั่นคงของพันธมิตรที่เกิดขึ้นเพียงเพื่อตอบสนองสถานการณ์เฉพาะหน้า

กรณีของจตุพร พรหมพันธุ์ ที่เปลี่ยนบทบาทจากผู้จงรักภักดีต่อทักษิณมาเป็นผู้วิจารณ์ สะท้อนถึงการสลายตัวของระบบอุปถัมภ์ เมื่อผู้มีอุปการะไม่สามารถให้ผลประโยชน์ได้อีกต่อไป จตุพรหันไปจับมือกับฝ่ายจารีต แสดงให้เห็นว่าเครือข่ายชินวัตรไม่ใช่ทรัพย์สินทางการเมืองอีกต่อไป แต่กลายเป็นภาระที่กัดกร่อนความชอบธรรมของราชสำนัก

เมื่อราชอาณาจักรล่มสลาย

วิกฤตในประเทศไทยไม่ใช่แค่การแข่งขันทางการเมือง แต่คือคำถามพื้นฐานว่าความชอบธรรมในโลกสมัยใหม่ควรมีที่มาอย่างไร การใช้มาตรา 112 เป็นเครื่องมือทางการเมืองแสดงให้เห็นถึงความขัดแย้งระหว่างอำนาจศักดิ์สิทธิ์กับหลักประชาธิปไตย การอ้างว่า “การแก้ไขมาตรา 112 เท่ากับล้มล้างสถาบัน” แสดงให้เห็นว่าเสรีภาพทางคำพูดกลายเป็นภัยคุกคามต่อโครงสร้างจารีต และการพึ่งพากฎหมายบีบบังคับเช่นนี้สะท้อนถึงจุดอ่อนของสถาบันมากกว่าจุดแข็ง

มิติทางเศรษฐกิจของวิกฤตครั้งนี้ก็สำคัญ เพราะ “ความวุ่นวายทางการเมืองอาจผลักเศรษฐกิจไทยเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิค” ความไม่แน่นอนทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุน และขัดขวางการวางแผนเศรษฐกิจระยะยาว วงจรอุบาทว์ระหว่างเศรษฐกิจอ่อนแอกับความชอบธรรมทางการเมืองที่ลดลง ทำให้รัฐไทยเสี่ยงต่อแรงกดดันจากภายนอก และลดความสามารถในการรักษาเสถียรภาพภายใน

ในระดับภูมิภาค วิกฤตความชอบธรรมของไทยส่งผลต่ออาเซียน ทั้งในด้านความมั่นคงและความร่วมมือทางเศรษฐกิจ บทสนทนาทางการทูตที่หลุดออกมา ทำลายภาพลักษณ์ของไทยในฐานะผู้มีความรับผิดชอบต่อภูมิภาค ขณะที่ภัยเงียบจากการรัฐประหารทำให้พันธมิตรระหว่างประเทศรู้สึกไม่มั่นใจ การถอยหลังทางประชาธิปไตยยังทำให้ความสัมพันธ์กับชาติตะวันตกซับซ้อนยิ่งขึ้น ซึ่งต่างให้ความสำคัญกับหลักธรรมาภิบาล

ASEAN sign on the street in Chiang Mai, Thailand. Photo

เกมจบ

กล่าวโดยสรุป วิกฤตการเมืองในปัจจุบันไม่ใช่เพียงตอนใหม่ในประวัติศาสตร์การเปลี่ยนผ่านของประชาธิปไตยไทย แต่คือการล่มสลายของฉันทามติในหมู่ชนชั้นนำ ที่ก่อรูปมาตั้งแต่ 2475 ความพยายามของราชสำนักในการประนีประนอมกับทักษิณกลับยิ่งทำให้วิกฤตความชอบธรรมรุนแรงขึ้น และทำให้พันธมิตรชนชั้นนำแบบดั้งเดิมแตกสลาย การปฏิเสธเสียงประชาชนอย่างเป็นระบบควบคู่กับความอ่อนแอของสถาบันจารีต ก่อให้เกิดความไม่มั่นคงที่คุกคามทั้งความมั่งคั่งภายในประเทศและความมั่นคงในระดับภูมิภาค

ทางออกไม่ใช่การหวังพึ่งกลยุทธ์การเมืองระยะสั้นเพื่อรักษาอำนาจจารีต แต่ต้องมีการปฏิรูปรัฐธรรมนูญอย่างจริงจัง สร้างขอบเขตที่ชัดเจนระหว่างอำนาจเชิงพิธีและอำนาจทางการเมือง บังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียม และจัดวางกลไกสถาบันเพื่อการเปลี่ยนผ่านอำนาจอย่างสันติ เท่านั้นจึงจะทำให้ไทยหลุดพ้นจากวงจรของการประนีประนอมของชนชั้นนำและความคับข้องใจของประชาชน และวางรากฐานสำหรับระบอบประชาธิปไตยที่มั่นคง โปร่งใส และเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง

Prem Singh Gill
Prem Singh Gill เป็นสมาชิกสมทบแห่งราชสมาคมเอเชีย (สหราชอาณาจักร) และนักวิชาการเยือนในมหาวิทยาลัยของรัฐในประเทศไทย

Banner: BANGKOK - 2023: Photo of King of Thailand His Majesty Maha Vajiralongkorn on the side of a skyscraper. NoyanYalcin, Shutterstock

 

 

Site artwork by PrachathipaType

Contact Us  |  © 2024, 112Watch

Scroll to Top