
เมื่อวังแต่งตั้งผู้นำขึ้นมาเพื่อเฝ้าดูให้พวกเขาล้มเหลว
October 7, 2025
ราชวงศ์ไทยได้พัฒนากลยุทธ์ที่อาจเรียกได้ว่าเป็น “การเมืองแห่งความเสื่อมที่ถูกออกแบบไว้ล่วงหน้า” (politics of planned obsolescence) ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ อนุทิน ชาญวีรกูล (Anutin Charnvirakul) ดูเหมือนถูกจัดวางให้ล้มเหลวตั้งแต่ต้น การขึ้นสู่อำนาจของเขาผ่านการจัดตั้งรัฐบาลผสมที่ซับซ้อนระหว่างพรรคฝ่ายค้านพรรคประชาชน (People’s Party) กับพรรคภูมิใจไทย (Bhumjaithai Party) ของเขาเอง ไม่ได้สะท้อนถึง “การประนีประนอมทางการเมือง” หากแต่เป็น “การแสดงตามรัฐธรรมนูญ” — การแสดงที่ตัวเอกได้รับบทที่เขียนไว้ให้ต้องพังทลายลงในที่สุด คำถามสำคัญของการเมืองไทยในตอนนี้จึงไม่ใช่ว่าอนุทินจะอยู่รอดหรือไม่ แต่คือการแต่งตั้งเขาให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของไทยนั้นเป็น “ฉากสุดท้าย” ของระบบราชาธิปไตยที่หมดหนทางหรือไม่ อนุทิน ชาญวีรกูล กลายเป็น “นายกรัฐมนตรีใช้แล้วทิ้ง” คนแรกของไทยไปแล้วหรือ — ตัวประกันทางรัฐธรรมนูญที่ถูกออกแบบมาเพื่อความล้มเหลว?
คำตอบอยู่ในโครงสร้างที่เป็นไปไม่ได้ของตำแหน่งเขาเอง นักรัฐศาสตร์ มิลาน สโวลิก (Milan Svolik) เคยระบุว่า ระบอบอำนาจนิยมมีปัญหาหลักสองประการ คือ การควบคุมประชาชน กับการแบ่งปันอำนาจระหว่างชนชั้นนำ
ผู้นำที่ใช้แล้วทิ้ง
สถาบันกษัตริย์ของไทยพยายามแก้ปัญหาทั้งสองด้านพร้อมกัน ด้วยการสร้างสิ่งที่เปรียบเสมือน “ฟิวส์มนุษย์” — ผู้นำที่มีหน้าที่ดูดซับแรงกดดันจากประชาชน ก่อนที่จะ “ขาด” เพื่อปกป้องระบบโดยการสังเวยตนเอง คำมั่นของอนุทินที่จะปฏิรูปรัฐธรรมนูญและจัดการเลือกตั้งก่อนครบวาระ เป็นคำสัญญาที่วังจะไม่มีวันอนุญาตให้เขาทำสำเร็จ แต่รัฐบาลของเขาก็ต้องพึ่งคำมั่นนี้เพื่อให้มีความชอบธรรมอย่างน้อยในระดับหนึ่ง เขาไม่อาจทำตามได้โดยไม่ทำลายผลประโยชน์ของสถาบันที่ดันเขาขึ้นมา และถ้าไม่ทำ เขาก็จะถูกตราหน้าว่าเป็นเพียงหุ่นเชิดของฝ่ายสถาบัน นี่ไม่ใช่ความผิดพลาดทางการเมือง แต่เป็น “ความขัดแย้งที่ถูกออกแบบไว้” ซึ่งเปลี่ยนตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจากที่เคยเป็น “ศูนย์กลางอำนาจ” ให้กลายเป็น “เครื่องมือแห่งความล้มเหลวที่ควบคุมได้”
นวัตกรรมของไทยไม่ได้อยู่ที่ความเป็นเผด็จการโดยตัวมันเอง แต่เป็นการพรางตัวทางรัฐธรรมนูญที่มีลักษณะเฉพาะ แตกต่างจากวิกเตอร์ ออร์บาน (Viktor Orbán) แห่งฮังการี ที่รวบรวมอำนาจผ่านการแก้ไขรัฐธรรมนูญและวินัยของพรรค หรือจากเรเจป ทายยิพ แอร์โดอัน (Recep Tayyip Erdoğan) แห่งตุรกี ที่รอดพ้นจากการพยายามยึดอำนาจแล้วกลับมาเข้มแข็งกว่าเดิม ราชวงศ์ไทยดำเนินการผ่านสิ่งที่นักกฎหมาย ยูจีนี เมอรีโอ (Eugénie Mérieau) เรียกว่า “รัฐธรรมนูญแห่งวิกฤติถาวร” — รัฐธรรมนูญปี 2560 ไม่ได้เพียงจำกัดประชาธิปไตย แต่กลับใช้กระบวนการประชาธิปไตยเป็นอาวุธต่อประชาธิปไตยเอง โดยให้องค์กรที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ มีอำนาจยับยั้งผลการเลือกตั้ง ขณะเดียวกันยังรักษาภาพลักษณ์ของอธิปไตยของประชาชนไว้ สิ่งนี้ก่อให้เกิดสิ่งที่ยาน-แวร์เนอร์ มุลเลอร์ (Jan-Werner Müller) เรียกว่า “พหุนิยมที่ถูกจำกัด” — คือความปรากฏของการแข่งขันทางการเมืองภายในขอบเขตที่จำกัดจนผลลัพธ์มีได้เพียงที่ฝ่ายสถาบันยอมรับ อนุทิน ชาญวีรกูล (Anutin Charnvirakul) ดำเนินงานอยู่ในพื้นที่ที่ถูกจัดขึ้นนี้ — มีอำนาจพอจะอ้างความชอบธรรมจากการเลือกตั้ง แต่ถูกจำกัดจนไม่เป็นภัยต่ออำนาจสูงสุดของสถาบันกษัตริย์ การเปรียบเทียบกับต่างประเทศช่วยชี้ให้เห็นความพิเศษและความเปราะบางของสถานการณ์ไทย ตัวอย่างเช่น พรรค “กฎหมายและความยุติธรรม” (Law and Justice) ของโปแลนด์ และพรรคฟิเดซ (Fidesz) ของฮังการี ได้รวมอำนาจแบบอำนาจนิยมโดยการชนะการเลือกตั้ง แล้วต่อด้วยการยึดครองระบบตุลาการ สื่อมวลชน และภาคประชาสังคมอย่างเป็นระบบ
ปัญหาเผด็จการกลับด้าน: มีสถาบันแต่ไม่มีการเลือกตั้ง
ชนชั้นนำของไทยเผชิญกับปัญหาที่ตรงกันข้ามกับระบอบเผด็จการทั่วไป — พวกเขาควบคุมสถาบันได้ แต่กลับไม่สามารถชนะการเลือกตั้งได้ พรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นผู้สืบทอดแนวคิดจากพรรคประชาชน (People’s Party) ชนะที่นั่งมากที่สุดในการเลือกตั้งปี 2566 แต่กลับถูกขัดขวางไม่ให้จัดตั้งรัฐบาลผ่านการยุบพรรคโดยศาล ซึ่งเผยให้เห็นว่า “ประชาธิปไตยแบบไทย” ได้กลายเป็นสิ่งที่นักรัฐศาสตร์ สตีเวน เลวิตสกี (Steven Levitsky) เรียกว่า “เผด็จการแบบแข่งขันได้” — ระบบที่ยังมีการเลือกตั้ง แต่ผลการเลือกตั้งไม่สามารถเปลี่ยนผู้มีอำนาจปกครองจริงได้ แต่แม้แต่ระบอบเผด็จการแบบแข่งขันได้ก็ยังต้องการ “ผู้ชนะ” บางคนเพื่อเป็นหน้าฉากของความชอบธรรม และนั่นคือจุดที่อนุทิน ชาญวีรกูล (Anutin Charnvirakul) เข้ามา เขาไม่เข้มแข็งพอจะปกครองอย่างอิสระ และไม่เป็นที่นิยมพอจะอ้างสิทธิ์ในอำนาจตามเสียงประชาชน แต่กลับอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมจะเป็นสิ่งที่นักปรัชญา จอร์โจ อากัมเบน (Giorgio Agamben) เรียกว่า “ชีวิตทางการเมืองเปลือยเปล่า” — ผู้นำที่ถูกพรากอำนาจอธิปไตยไปจนหมด เหลืออยู่เพียงในฐานะ “ตัวแทนชั่วคราวทางรัฐธรรมนูญ” กลไกของ “ความทิ้งได้” (disposability) ปรากฏชัดในความขัดแย้งภายในของรัฐบาลผสม พรรคภูมิใจไทย (Bhumjaithai) เติบโตได้เพราะการเมืองที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ ทำให้พรรคมีบทบาทเป็น “ผู้ชี้ขาด” (kingmaker) ในสภาที่ไม่มั่นคง การปฏิรูปรัฐธรรมนูญซึ่งอาจทำให้การเมืองมีเสถียรภาพมากขึ้น กลับเป็นการทำลายเงื่อนไขที่ทำให้พรรคภูมิใจไทยมีอิทธิพล ดังนั้น คำสัญญาของอนุทินที่จะปฏิรูปรัฐธรรมนูญจึงเท่ากับการวางยาตัวเองในเชิงโครงสร้าง
ขณะเดียวกัน พรรคประชาชนได้ยอมสละอุดมการณ์เพื่อเข้าถึงโครงสร้างอำนาจ โดยเดิมพันว่าการร่วมมือกับรัฐบาลอนุรักษนิยมอาจนำไปสู่การปฏิรูปในอนาคต กลยุทธ์นี้สะท้อนสิ่งที่นักรัฐศาสตร์ อดัม เปรซวอร์สกี (Adam Przeworski) เรียกว่า “ภาวะย้อนแย้งของประชาธิปไตย” (democracy paradox) — คือกลุ่มฝ่ายค้านต้องเลือกระหว่างการยืนหยัดตามหลักการแล้วถูกกันออกจากอำนาจ หรือยอมประนีประนอมเพื่อได้เข้ามามีส่วนร่วม และกลุ่มก้าวหน้าในไทยได้เลือกทางหลัง แต่ความหวังของพวกเขาขึ้นอยู่กับการที่อนุทินต้องทำตามสัญญาปฏิรูปให้สำเร็จ ซึ่งทำให้พวกเขากลายเป็น “ตัวประกันของความสำเร็จของเขา” เมื่ออนุทินล้มเหลว ไม่ว่าจะเพราะขาดความสามารถหรือความตั้งใจ พรรคประชาชนก็จะกลายเป็นผู้มอบความชอบธรรมให้กับระบอบที่ตนเองต่อต้าน โดยไม่ได้อะไรกลับมาเลย มาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญาไทย ซึ่งเป็นกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ที่กำหนดโทษจำคุกสูงสุดถึง 15 ปีสำหรับการวิจารณ์สถาบัน ทำหน้าที่เหมือนสิ่งที่นักกฎหมาย คาร์ล ชมิตต์ (Carl Schmitt) เรียกว่า “ข้อยกเว้นที่ยืนยันกฎ” — หลักการศักดิ์สิทธิ์ที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า “อำนาจอธิปไตยที่แท้จริง” อยู่ที่ไหน เมื่อพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ (Pita Limjaroenrat) จากพรรคก้าวไกลเพียงแค่เสนอให้แก้ไขกฎหมายนี้เพื่อป้องกันการนำไปใช้ในทางที่ผิด พรรคของเขาก็ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบในเวลาไม่กี่เดือน การตอบสนองอย่างรุนแรงนี้ชี้ให้เห็นว่าการเมืองไทยดำเนินอยู่ภายใต้สิ่งที่นักปรัชญา ฌัก ร็องซีแยร์ (Jacques Rancière) เรียกว่า “ตรรกะแห่งการควบคุม” (police logic) แทนที่จะเป็น “ตรรกะทางการเมือง” (political logic) — กล่าวคือ ระบบที่จัดการผลลัพธ์ล่วงหน้าแทนที่จะเปิดพื้นที่ให้ต่อรองอย่างแท้จริง อนุทินไม่สามารถแตะต้องมาตรา 112 ได้เลยโดยไม่กระตุ้นการตอบโต้จากฝ่ายสถาบัน แต่หากเขายอมรับและคงกฎหมายนี้ไว้ เขาก็จะถูกฝ่ายก้าวหน้าเห็นว่า “ทรยศ” เขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่ “ทำอะไรก็ผิด ไม่ทำอะไรก็ผิด” ซึ่งเป็นทางตันที่ถูกออกแบบไว้อย่างสมบูรณ์
ทฤษฎีรัฐธรรมนูญเปรียบเทียบช่วยให้เห็นว่าปัญหาของไทยนั้นพิเศษและรุนแรงเพียงใด ระบอบกึ่งเผด็จการส่วนใหญ่รักษาเสถียรภาพไว้ได้ด้วยสองวิธี — อย่างสิงคโปร์คือชนะการเลือกตั้งจริง (เช่น พรรคกิจประชาชน หรือ People’s Action Party) หรืออย่างกัมพูชาคือการกดขี่อย่างโจ่งแจ้ง (ฮุน เซน — Hun Sen) แต่ราชวงศ์ไทยพยายามทำสิ่งที่ทะเยอทะยานกว่าและไม่ยั่งยืน — คือการคงกระบวนการประชาธิปไตยไว้ในขณะเดียวกันก็รับประกันผลลัพธ์ที่ไม่เป็นประชาธิปไตย รักษาความชอบธรรมทางรัฐธรรมนูญไว้พร้อมกับใช้อำนาจนอกระบบรัฐธรรมนูญ สิ่งนี้ทำให้ต้อง “สร้างวิกฤติ” ขึ้นซ้ำ ๆ เพื่อให้มีข้ออ้างในการแทรกแซง แล้วค่อยจัดฉาก “การแก้ไขปัญหา” ที่ทำให้สถานการณ์ดูเหมือนกลับมาสงบ โดยไม่แตะต้องรากของปัญหาเลย อนุทินคือรุ่นล่าสุดของวัฏจักร “วิกฤติ–แทรกแซง–แก้ไข–ซ้ำวิกฤติ” นี้ แต่ทุกครั้งที่เกิดขึ้น ความชอบธรรมของระบบจะยิ่งสึกกร่อนลง ประชาชนเรียนรู้ว่าการเลือกตั้งไม่เปลี่ยนผู้ปกครอง คำสัญญาในรัฐธรรมนูญไม่มีความหมาย และกระบวนการประชาธิปไตยทั้งหมดเป็นเพียงฉากตกแต่งเท่านั้น แตกต่างจากโปแลนด์และฮังการีที่ยังถูกสหภาพยุโรป (EU) กดดันให้รักษามาตรฐานประชาธิปไตย ไทยอยู่ภายใต้กรอบ “ไม่แทรกแซงกิจการภายใน” ของอาเซียน ซึ่งช่วยปกป้องราชวงศ์จากแรงกดดันจากภายนอกอย่างสิ้นเชิง
ความเหนื่อยล้าของความชอบธรรม
แต่ความป้องกันตัวเองจากแรงกดดันภายนอกนี้อาจกลับเป็นอันตราย เพราะมันทำให้ระบบเผด็จการสูญเสีย “วาล์วระบายความกดดัน” ซึ่งปกติจะบังคับให้ระบบต้องปรับตัวต่อความต้องการของประชาชนในบางครั้ง นักรัฐศาสตร์ บาร์บารา เก็ดเดส (Barbara Geddes) ระบุว่าระบอบอำนาจนิยมมักล้มเหลวเมื่อกลยุทธ์ในการสร้างความชอบธรรมหมดพลัง — เมื่อเรื่องราวที่พวกเขาเล่าเกี่ยวกับเหตุผลที่ควรปกครองไม่สามารถโน้มน้าวกลุ่มเป้าหมายสำคัญได้อีกต่อไป เรื่องเล่าความชอบธรรมของประเทศไทยเสื่อมสลายจนโปร่งใส: ราชวงศ์อ้างว่าตนปกป้องประชาธิปไตย ทั้งที่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าทำลายผลลัพธ์จากประชาธิปไตย รักษารัฐธรรมนูญทั้งที่ใช้อำนาจนอกรัฐธรรมนูญ เรียกร้องความจงรักภักดี ทั้งที่สร้างความไม่พอใจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ“ความใช้แล้วทิ้ง” ของอนุทิน ชาญวีรกูล (Anutin Charnvirakul) ทำให้ความขัดแย้งนี้เห็นชัดเจน — นายกรัฐมนตรีที่ไม่มีทั้งอำนาจและเป้าหมาย มีอยู่เพียงเพื่อรักษาภาพลักษณ์ที่ไม่สามารถโน้มน้าวประชาชนได้อีกต่อไป
เป้าหมายสุดท้ายของบัลลังก์เริ่มปรากฏชัดในความไม่สามารถสร้างทางออกที่ยั่งยืน การแทรกแซงทุกครั้งตั้งแต่รัฐประหารปี 2549 ที่โค่น ทักษิณ ชินวัตร ใช้ได้เพียงชั่วคราว ก่อนที่จะต้องแทรกแซงอีกครั้ง: รัฐธรรมนูญปี 2550 ล้มเหลว จึงเกิดรัฐประหารปี 2557; รัฐธรรมนูญจากรัฐประหารนั้นก็ล้มเหลว ต้องมีการแทรกแซงทางศาลอย่างต่อเนื่อง; การแทรกแซงเหล่านี้ก็ไม่สามารถหยุดชัยชนะของฝ่ายก้าวหน้าได้ ทำให้ต้องสร้างรัฐบาลผสมที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ อนุทินไม่ได้เป็น “ยุทธศาสตร์ใหม่” แต่เป็นสัญญาณแห่งความหมดหนทางของทุกยุทธศาสตร์ก่อนหน้า — การมีอยู่ของเขาเองเป็นข้อพิสูจน์ว่าระบบไม่สามารถสร้างการปกครองที่ชอบธรรมได้อีกต่อไป นักทฤษฎีการเมือง ฮันนาห์ อาเรนท์ (Hannah Arendt) เคยกล่าวว่า ระบบเผด็จการเบ็ดเสร็จจะพังลงเมื่อแบกรับความขัดแย้งภายในตัวเองไม่ไหว — ไม่สามารถคงภาพลวงตาที่ว่า “ไม่มีสิ่งใดเป็นอย่างที่ปรากฏ” ได้อีกต่อไป ประเทศไทยยังไม่ถึงขั้นเผด็จการเบ็ดเสร็จ แต่ได้สร้างระเบียบการเมืองที่อาจไม่มั่นคงกว่า — ระบบที่ทุกอย่างดูเหมือนประชาธิปไตย แต่แท้จริงไม่มีอะไรเป็นประชาธิปไตย นายกรัฐมนตรีปกครองโดยไร้อำนาจ และกษัตริย์ปกครองโดยไร้ความรับผิดชอบ
คำถามที่ว่า อนุทินเป็นเพียง “ใช้แล้วทิ้ง” หรือถูกออกแบบให้ล้มเหลว แท้จริงแล้วคำตอบคือเหมือนกัน — การเป็น “ใช้แล้วทิ้ง” คือการออกแบบ ความล้มเหลวที่ถูกวางไว้เป็นเครื่องมือสุดท้ายของระบบในการจัดการแรงกดดันจากประชาธิปไตยโดยไม่อนุญาตให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจริง
ภาพลวงตาสุดท้ายที่พังทลาย
แต่ “ทางออก” แบบนี้กลับซ่อนเมล็ดพันธุ์แห่งการทำลายตัวเองอยู่ในนั้น ทุกครั้งที่ผู้นำที่ใช้แล้วทิ้งล้มเหลว ความน่าเชื่อถือของผู้นำคนต่อไปก็ลดลง ทุกคำสัญญาที่ผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า สอนให้ประชาชนรู้ว่าคำสัญญาไม่มีค่า ทุกวิกฤติรัฐธรรมนูญที่ถูก “แก้ไข” ด้วยการยึดอำนาจหรือตัดต่อพันธมิตรทางการเมือง ยิ่งทำให้วิกฤติครั้งต่อไปรุนแรงกว่าเดิม ราชวงศ์ไทยอาจชนะทุก “ศึกย่อย” ผ่านการควบคุมกลไกรัฐ แต่การชนะศึกไม่ได้หมายความว่าชนะ “สงคราม” สงครามที่แท้จริงคือ “สงครามเพื่อความชอบธรรม” — เพื่อทำให้ประชาชนเชื่อว่านี่คือระบบที่สมควรดำรงอยู่ต่อไป ซึ่งสิ่งนี้ไม่อาจได้มาด้วยการยุบพรรคหรือต่อรองในสภา การคงอยู่ของระบบจำเป็นต้องอาศัยสองทางเลือกเท่านั้น คือ การปฏิรูปให้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง หรือการรวมศูนย์อำนาจอย่างเบ็ดเสร็จ แต่ดูเหมือนชนชั้นนำไทยไม่สามารถทำได้ทั้งสองอย่าง
อนุทิน ชาญวีรกูล มีแนวโน้มจะล้มเหลวในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี — ล้มเหลวในการปฏิรูป ล้มเหลวในการสร้างสมดุลระหว่างฝ่ายก้าวหน้าและฝ่ายอนุรักษ์นิยม และล้มเหลวในการสร้างรัฐบาลที่มั่นคง แต่ความล้มเหลวของเขาจะเปิดเผยบางสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า นั่นคือ การที่ “ระบบประชาธิปไตยควบคุมได้” ของไทยได้ถึงขีดจำกัดแล้ว เครื่องมือทุกอย่างที่ราชวงศ์ใช้เพื่อควบคุมผลลัพธ์ทางการเมืองในขณะที่ยังคงภาพประชาธิปไตยไว้ — ได้ถูกใช้จนหมด ราชสำนักไม่สามารถ “เล่นสองด้าน” ได้อีกต่อไป เพราะ “ตรงกลาง” ที่เคยเป็นพื้นที่ต่อรองนั้นได้สลายไปแล้ว ถูกกลืนหายโดยความขัดแย้งระหว่าง “ความชอบธรรมแบบประชาธิปไตย” กับ “อำนาจที่ไม่ต้องรับผิดชอบ” เมื่ออนุทินล้มลง — ไม่ว่าจะด้วยการลาออกอย่างสมัครใจ หรือถูกหักหลังโดยฝ่ายที่ดันเขาขึ้นมา — เขาจะพา “ภาพลวงตาสุดท้าย” ของระบอบนี้ล้มลงไปด้วย ภาพลวงตาที่ว่ารัฐธรรมนูญไทยยังมีความหมาย และว่านายกรัฐมนตรีสามารถบริหารประเทศได้โดยไม่ท้าทายอำนาจเหนือรัฐ และเมื่อความจริงนี้ปรากฏอย่างชัดเจน มันจะไม่สามารถถูกซ่อนหรือแก้ไขได้อีกด้วยรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือการจัดตั้งรัฐบาลผสมอีกชุดหนึ่ง บทบาทสุดท้ายของ “นายกรัฐมนตรีใช้แล้วทิ้ง” อาจเป็นการทำให้สิ่งที่ฝ่ายประชาธิปไตยพูดมานานกลายเป็นข้อเท็จจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ — ว่าปัญหาของไทยไม่ใช่ผู้นำแต่ละคน หากคือ “ระบบทั้งหมด” ที่ไม่สามารถดำรงอยู่ได้อีกต่อไป
Prem Singh Gill
Prem Singh Gill เป็น Fellow แห่ง Royal Asiatic Society (อังกฤษและไอร์แลนด์) และนักวิชาการรับเชิญในมหาวิทยาลัยของรัฐในประเทศไทย
Banner: Bangkok, Thailand - August 2022: Then Thai Public Health Minister, Anutin Charnvirakul, is seen at a media conference. Photo: SPhotograph, Shutterstock