
ชัยชนะของทักษิณ: ความสำเร็จส่วนตัวที่แลกมาด้วยความหวังในการปฏิรูปมาตรา 112
August 24, 2025
การที่ศาลอาญามีคำพิพากษายกฟ้องคดีมาตรา 112 ของทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้เป็นศูนย์กลางแห่งความขัดแย้งทางการเมืองไทยมายาวนานนั้น ไม่เพียงแต่เป็นบทสรุปทางกฎหมายสำหรับคดีดังกล่าว แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นที่น่ากังวลสำหรับทิศทางการปฏิรูปกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในประเทศไทย เส้นทางการปฏิรูปกฎหมายนี้ดูเหมือนจะยิ่งยากขึ้น เมื่อการพ้นข้อกล่าวหาของบุคคลระดับสูงกลายเป็นเครื่องมือในการยืนยันความชอบธรรมของตัวกฎหมายเอง บทความนี้จึงจะวิเคราะห์ว่าเหตุใดชัยชนะส่วนตัวในครั้งนี้ของนายทักษิณ จึงอาจกลายเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงที่สังคมไทยต้องการ
ในอดีตที่ผ่านมา ทักษิณเคยมีจุดยืนที่ชัดเจนในการปกป้องมาตรา 112 โดยได้พูดเรื่องนี้ผ่าน Clubhouse ว่ากฎหมายนี้ไม่ใช่ปัญหา และยังได้กล่าวตำหนิเยาวชนที่เรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ว่าไม่สำนึกถึงคุณูปการของสถาบันฯ การแสดงออกดังกล่าวถูกมองว่าเป็นความต้องการคืนดีกับชนชั้นนำเพื่อปูทางสู่การกลับประเทศอย่างปลอดภัย ในฐานะนักการเมืองผู้คร่ำหวอด ทักษิณย่อมทราบดีว่าการจะกลับมามีบทบาททางการเมืองในไทยได้นั้น ต้องอาศัยการแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันหลักของชาติ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ได้ผกผันเมื่อเขาเองต้องมาเผชิญกับคดี 112 จากคำสัมภาษณ์เก่าที่ประเทศเกาหลี ซึ่งเป็นบททดสอบจุดยืนของเขา และผลลัพธ์ของการรอดพ้นข้อกล่าวหาก็ดูเหมือนจะตอกย้ำถึงความสัมพันธ์อันซับซ้อนเบื้องหลังการเมืองไทยสิ่งที่น่ากังวลกว่าผลการตัดสินคือวาทกรรมที่จะเกิดขึ้นตามมาอย่างแน่นอน นั่นคือ "ถ้าไม่ผิดก็ไม่ต้องกลัว" วาทกรรมนี้อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือให้พรรคเพื่อไทยและผู้สนับสนุนของนายทักษิณเพิกเฉยต่อการปฏิรูปมาตรา 112 โดยอ้างอิงจากกรณีของทักษิณเองว่าหากไม่มีการกระทำผิดจริง ศาลก็จะยกฟ้อง (ทำให้เรารู้สึกว่าศาลไทยมีความยุติธรรมและไม่ได้ถูกชักนำด้วยการเมือง) การตัดสินครั้งนี้จึงอาจถูกนำมาใช้เป็นข้ออ้างว่ากฎหมายไม่มีปัญหา แต่ปัญหาที่แท้จริงคือการนำกฎหมายไปใช้ในทางที่ผิด ซึ่งเป็นแนวคิดที่อันตราย เพราะเป็นการละเลยข้อเท็จจริงที่ว่าการตีความกฎหมายนี้ที่ผ่านมานั้นคลุมเครือและกว้างขวางเกินไป จนทำให้บุคคลจำนวนมากต้องเผชิญกับคดีและสร้างบรรยากาศแห่งความหวาดกลัวในสังคม การพ้นข้อกล่าวหาของนายทักษิณจึงไม่ได้เป็นหลักฐานว่ากฎหมายนี้เป็นธรรม แต่เป็นเพียงหลักฐานว่าในการเมืองไทยนั้น มีทางออกที่แตกต่างกันสำหรับบางคนเท่านั้น
แม้ว่าทักษิณจะเป็นอดีตนายกฯ อาศัยและลี้ภัยในต่างประเทศ และเดินทางทั่วโลก เขาย่อมตระหนักดีว่า นานาชาติมองปัญหามาตรา 112 อย่างไร และทราบดีถึงมาตรฐานสากลเรื่องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เขาตระหนักว่ากฎหมายนี้จำเป็นต้องมีการแก้ไข แต่ท้ายที่สุดแล้ว ผลประโยชน์ส่วนตัวและครอบครัวที่ต้องรักษาไว้ ตลอดจนดีลที่ทำไว้เพื่อกลับมาอย่างปลอดภัย ล้วนมีความสำคัญเหนือกว่าอุดมการณ์ใด ๆ ทำให้สามารถสรุปได้ว่า ทักษิณหรือพรรคเพื่อไทยจะไม่เดินหน้าแก้ไขกฎหมายนี้อย่างจริงจัง เพราะเป็นการตัดสินใจที่ต้องแลกมาด้วยการเสียสละสิ่งที่ตนเองมี และสิ่งที่เกิดขึ้นก็ยิ่งทำให้ข้อสรุปนี้หนักแน่นยิ่งขึ้น
สิ่งที่ควรนำมาพิจารณาคือเรื่องของความรักและความเข้าใจ ทักษิณแสดงความรักต่อบุตรสาวอย่างเปิดเผย แต่ในขณะที่บุตรสาวของเขามีอิสรภาพและสิทธิในการดำเนินชีวิตอย่างปกติสุข และได้อภิสิทธิ์ในการเป็นถึงนายกรัฐมนตรี เยาวชนจำนวนมากต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำด้วยคดีมาตรา 112 เยาวชนเหล่านั้นต่างก็มีพ่อแม่ซึ่งรักลูกไม่ต่างจากที่ทักษิณรัก ผู้นำที่แท้จริงควรสามารถเข้าใจความทุกข์ร้อนของประชาชนและยินดีที่จะช่วยแก้ไขปัญหาที่กัดกินสังคม ไม่ใช่เพียงแค่แก้ปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อตนเองเท่านั้น การตัดสินใจในครั้งนี้จะเป็นสิ่งที่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ และน่าคิดว่าเมื่อลาโลกไปแล้ว นายทักษิณจะต้องการให้คนไทยจดจำเขาในแง่มุมใด
การพ้นข้อกล่าวหาในคดีมาตรา 112 ของนายทักษิณอาจเป็นข่าวดีสำหรับเขาและผู้สนับสนุน แต่ในอีกมุมหนึ่ง มันคือการตอกย้ำสถานะของกฎหมายที่สร้างความขัดแย้งในสังคมไทยต่อไป การตัดสินใจครั้งนี้ได้สร้างกำแพงใหม่ที่ยากจะทลาย ทำให้การเรียกร้องการปฏิรูปกฎหมายในอนาคตดูเหมือนจะไร้น้ำหนักลงอย่างน่าใจหาย ถึงเวลาแล้วที่พรรคเพื่อไทยจะต้องทบทวนจุดยืนของตนเองอีกครั้ง ไม่เพียงเพื่อความก้าวหน้าของประเทศในระยะยาว แต่เพื่อแสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบในฐานะรัฐบาลที่ควรรับฟังเสียงของประชาชนทุกคน และไม่ปล่อยให้ใครต้องถูกทอดทิ้งไว้เบื้องหลังเพียงเพราะกฎหมายที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง
Banner: File photo, 2025, Prachaya Roekdeethaweesab, Shutterstock